แบรนด์เกมมิ่งเกียร์สัญชาติไทย LOGA ได้ทำการเปิดตัว พร้อมวางจำหน่ายสินค้าชุดแรกของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสินค้าชุดแรกที่ได้วางจำหน่าย นั่นก็คือเม้าส์ในซีรี่ย์ Deva ที่ออกแบบมาให้สำหรับนักแข่งขัน esports โดยเฉพาะ และแผ่นรองเม้าส์ในชื่อ Mantra XL ที่มีขนาดใหญ่ถึง 900 x 350 x 3 มิลลิเมตร เพื่อให้รองรับได้ทั่วถึงทั้งเม้าส์ และคีย์บอร์ดได้
LOGA เป็นแบรนด์เกมมิ่งสัญชาติไทย ที่มีความน่าสนใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นชื่อแบรนด์ หรือโลโก้ ที่สามารถนำเสนอความเป็นไทยออกมาได้ทั้งหมด บทความนี้ จึงขอนำเม้าส์ Deva Pro และแผ่นรองเม้าส์ Mantra จากแบรนด์ LOGA มารีวิวให้ได้ดูกันว่าจะเป็นเกมมิ่งเกียร์จากประเทศไทย จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง
เริ่มต้นด้วยการแกะกล่อง
การทำแพ็กเกจ หรือกล่องเก็บสินค้าของเม้าส์ Deva Pro และแผ่นรองเม้าส์ Mantra ถือว่าดูมีความสวยงามแบบพรีเมี่ยม วัสดุแพ็กเกจของเม้าส์ Deva Pro ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน สามารถเปิดแผ่นกล่องด้านหน้าเพื่อดูตัวเม้าส์ข้างในได้ โดยจะได้เห็นได้ว่ามีพลาสติกแข็งคอยป้องกันฝุ่นอย่างดี และการถอดตัวเม้าส์จากกล่องก็ดูไม่ซับซ้อน รวมทั้งภายในกล่องก็จะมีคู่มือการใช้งานทุกฟีเจอร์มาไว้ให้ด้วย
ด้านแพ็คเกจของแผ่นรองเม้าส์ Mantra เมื่อเปิดกล่องก็สามารถหยิบออกมาได้เลยตามปกติ โดยกล่องจะเป็นขนาดยาว ที่ม้วนแผ่นรองเม้าส์เอาไว้ ซึ่งเมื่อเปิดออกมาก็จะเห็นได้เลยว่าตัวแผ่นรองเม้าส์ มีการใช้น้ำหอมบำรุงกลิ่นเป็นอย่างดี ทำให้รับรู้ได้เลยทางแบรนด์ LOGA ใส่ใจลูกค้ามากขนาดไหน
นอกจากนี้ ทั้งสองแพ็กเกจก็ได้มีการใส่รายละเอียดคุณสมบัติไว้ข้างหลังอย่างครบถ้วน โดยไม่ได้เป็นการบอกแค่ว่าจะมีฟีเจอร์อะไรบ้าง แต่เป็นการบอกเล่าเลยว่าสินค้าดังกล่าว ถูกออกแบบมาให้มีจุดประสงค์ยังไง ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจอย่างมาก เพราะเท่ากับว่าแบรนด์ LOGA ได้แสดงความจริงใจ โดยไม่ได้เก็บอะไรไว้เป็นความลับ นับตั้งแต่ลูกค้ายังไม่ได้ทำการซื้อนั่นเอง
การดีไซน์ และความสวยงาม
เมื่อได้ทำการนำสาย USB ของเม้าส์ Deva Pro เสียบเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็จะสามารถใช้งานได้ และมีไฟ LED ปรากฏขึ้นที่เม้าส์ทันที โดยเม้าส์ตัวนี้ จะแสดงให้เห็นว่าโลโก้ของแบรนด์ LOGA เมื่อได้ทำการฉายคู่กับ LED ของเม้าส์ ก็สามารถทำออกมาได้ดูดีมีความงดงามมาก และยังมี LED ที่ปรากฏอยู่ตรงลูกเลื่อนของเม้าส์กลางเป็นเส้นๆ ที่ก็ทำออกมาได้ดูสวยเหมือนกัน
เม้าส์ดังกล่าวนี้ ยังมีขนาดอยู่ที่ไซส์กลางตามมาตรฐาน ทำให้ผู้ที่เคยจับเม้าส์ขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่กว่ามาก่อน จะไม่รู้สึกว่าจับไม่ถนัด หรือต้องปรับตัวให้ชินเลย แถมการนำนิ้วไปวางไว้บนปุ่มต่างๆ ก็สามารถสัมผัส หรือขยับได้ลื่น และไม่รู้สึกแข็ง
ส่วนแผ่นรองเม้าส์ Mantra XL ก็มีขนาดอยู่ที่ 900 x 350 x 3 มิลลิเมตร ทำให้การปูจะสามารถครอบคลุมได้ทั้งเม้าส์ และคีย์บอร์ดอย่างแน่นอน ซึ่งผ้าของแผ่นรองเม้าส์ก็มีความนุ่มกำลังพอดี เมื่อลองเอามือไปวางไว้เป็นเวลานานๆ ก็ไม่รู้สึกว่าเจ็บ หรือปวดเมื่อยเหมือนแผ่นรองเม้าส์ทั่วไป พร้อมทั้งด้านขวาล่างของแผ่นรองเม้าส์ยังมีโลโก้ และชื่อแบรนด์ LOGA ตัวโตๆ ที่ดูสวยงามอีกด้วย ถือว่าคุ้มกับราคาที่ได้รับอย่างมาก และก็ยังทำให้เม้าส์ Deva สามารถลากไปไหนโดยไม่รู้สึกติดขัดได้ดีตลอดเวลาเลยทีเดียว
สำหรับด้านไฟ LED ของเม้าส์ Deva Pro ก็จะมีสีของไฟ LED ทั้งหมด 4 สีด้วยกัน นั่นก็คือสีม่วง, แดง, น้ำเงิน และเขียว ซึ่งแต่ละสีก็สามารถแสดงโทนออกมาได้งดงามมาก โดยเฉพาะสีม่วงที่เป็นสีสัญลักษณ์ของแบรนด์
แม้เม้าส์ดังกล่าวนี้ จะมีไฟ LED ทั้งหมดถึง 4 สี แต่ก็ถูกออกแบบมาให้เปลี่ยนเพื่อแสดงความเร็ว DPI ของเม้าส์ ที่ปรับได้ 4 ระดับเท่านั้น ซึ่งจุดนี้ ผู้ใช้งานจะไม่สามารถเลือกแต่งสีให้กับ DPI ที่ชอบใช้ได้เลย ทำให้ผู้ที่คิดจะซื้อมาสะสมเพราะความสวยงาม จะต้องพิจารณาก่อนว่า DPI ที่ชอบใช้ จะเป็นสีที่ชอบด้วยหรือไม่
ฟีเจอร์ที่ได้สัมผัส
สำหรับเม้าส์ตัวนี้ จะมีปุ่มสำหรับการใช้งานได้ทั้งหมด 5 ปุ่ม ประกอบไปด้วยปุ่มคลิกซ้าย, คลิกขวา, เม้าส์กลาง และอีก 2 ปุ่มรองด้านข้างทางซ้ายของเมาส์ ที่เอาไว้ใช้ในการตั้งคีย์ลัดต่างๆ ของเกมได้ แต่การกดปุ่มคลิกซ้าย, คลิกขวา, เม้าส์กลาง จะต้องใช้แรงในการกดเหมือนเม้าส์ทั่วไปอยู่ส่วนนึง แต่อีก 2 ปุ่มที่อยู่ด้านข้างของเม้าส์ และลูกเลื่อนของเม้าส์กลาง กลับทำออกมาได้นุ่มนิ่มอย่างมาก ทำให้รู้สึกได้เลยว่าการใช้งานคีย์ลัดจะไม่ติดขัดอะไรแน่นอน
เม้าส์ตัวนี้ ยังทำให้สามารถปรับความเร็วของลูกศรเม้าส์ (DPI) ได้ด้วยปุ่มเล็กๆ ที่อยู่ด้านใต้ของเม้าส์ ซึ่งจะมีด้วยกัน 2 ปุ่มนั่นก็คือการปรับ DPI ให้เร็วขึ้น และปรับ DPI ให้เร็วลง พร้อมทั้งเมื่อปรับความเร็ว DPI ที่แตกต่างกัน LED ก็จะเปลี่ยนไปตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เพื่อทำให้รู้ได้ว่าปรับ DPI ไว้ที่เท่าไหร่นั่นเอง
เม้าส์ดังกล่าวนี้ สามารถปรับความเร็ว DPI ได้มากถึง 4 รูปแบบ นั่นก็คือ 400, 800, 1600, 3200 มีเซ็นเซอร์ PIXART 3360 และความเร็วในการลากเม้าส์อยู่ที่ 250 IPS ที่ช่วยให้เม้าส์จะตอบสนองตลอดเวลาแบบไม่ติดขัดได้ทุกสถานการณ์ ส่งผลให้การควบคุมของเม้าส์ตัวนี้ รู้สึกลื่นไหล และเหมาะกับการนำไปเล่นเกมแนวแข่งขันระหว่างผู้เล่นเป็นพิเศษ
แม้ด้านคุณภาพด้านการใช้งาน จะรู้สึกตอบสนองของเหล่าเกมเมอร์ในหลายๆ อย่าง แต่เม้าส์ Deva Pro ตัวนี้ ก็จะมีปัญหาการใช้งานบางส่วนแทน นั่นก็คือปุ่มการปรับ DPI ที่เล็ก และอยู่ลึกพอสมควร ทำให้ผู้ใช้งานจะไม่ค่อยรู้สึกว่าอยากเปลี่ยน DPI ให้เข้ากับสถานการณ์อันรวดเร็ว จนต้องหา DPI ที่จะใช้ได้ดีตลอดเวลาในการเล่นเกม
ลงสนาม MOBA
เมื่อลองนำเม้าส์ Deva Pro ไปเล่นในเกมตีป้อมชื่อดังอย่าง Dota 2 ด้วยความเร็วระดับ 800 DPI ก็ทำให้รู้สึกได้เลยว่าการออกคำสั่งให้ฮีโร่ต่างๆ ดูไม่ติดขัด หรือสามารถโทษว่าเม้าส์เป็นเหตุให้เล่นได้เสียเปรียบ เนื่องจากเม้าส์ตัวนี้ สามารถตอบสนองการกดแต่ละครั้งได้ดีมากๆ และเมื่อได้ลองปรับให้ปุ่ม Push to Talk ที่ทำให้จะพูดผ่านไมค์โครโฟนได้เมื่อกดปุ่มหนึ่งทุกครั้ง ไปอยู่เป็นคีย์ลัดของปุ่มรองข้างซ้ายของเม้าส์ เม้าส์ตัวนี้ ก็สามารถแสดงพลังความนิ่ม และการตอบสนองสุดเยี่ยมของปุ่มข้างซ้ายของเมาส์ได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดที่ทำให้การ Push to Talk สามารถตอบสนองได้ดีเท่าเทียมกับการเปิดไมค์ไว้ตลอดเวลาเลยทีเดียว
ลงสนาม FPS
หลังจากได้ลองเกมแนว MOBA จนรู้สึกว่าใช้งานได้ดีไปแล้ว จึงได้ลองทำการปรับความเร็วระดับ 1600 DPI แล้วไปเล่นกับเกมแนวอื่นอย่าง FPS บ้าง นั่นก็คือเกม Rainbow Six: Siege (R6S) ที่การเล่นเกมนี้ จะมีการใช้ท่าทางกลยุทธ์ และ Gadget ผ่านหลายปุ่มบนคีย์บอร์ด แต่เม้าส์ตัวนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ 2 ปุ่มรองข้างซ้ายของเม้าส์อีกครั้ง จากการลองปรับให้ปุ่มปาระเบิดไปเป็นคีย์ลัดดู ซึ่งก็ทำให้เห็นได้เลยว่าการขว้างระเบิด สามารถกดได้ง่ายกว่ากดผ่านคีย์บอร์ดมากๆ รวมทั้งด้วยความนิ่มของปุ่มรองข้างซ้ายของเม้าส์ ที่มากกว่าเม้าส์ทั่วไป ก็ทำให้ควบคุมการกดปาระเบิดแต่ละลูก จะทำได้ดีมากขึ้น
นอกจากนี้ การที่ได้ลองใช้เม้าส์ดังกล่าวในเกมแนว FPS ก็เป็นการเฉลยออกมาอีกด้วยว่าเหตุผลที่การคลิกซ้าย, คลิกขวา และเม้าส์กลาง ต้องใช้แรงในการกดเหมือนเม้าส์ทั่วไปซักหน่อย นั่นก็เพราะจะทำให้ผู้ที่เล่นเกม FPS สามารถควบคุมการยิงปืนแบบ Burst Fire ในโหมด Full Auto ได้ดีขึ้นอย่างมาก แม้ Fire Rate ของปืนจะเยอะขนาดไหนก็ตาม และยังมีประโยชน์ที่จะทำให้ผู้เล่นไม่เผลอปืนลั่นอีกด้วย
แม้เม้าส์ตัวนี้ จะทำให้การเล่นเกม FPS คล่องแคล่วมากขึ้น แต่เมื่อได้นำไปลองกับเกมแนวโดดร่มอย่าง PUBG, Fortnite และ Apex Legends หรือเกมยิงที่ต้องอาศัยความเร็วอย่าง Titanfall 2 ก็ทำให้พบกับปัญหาการใช้งานอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสายของเม้าส์ที่แข็งไปหน่อย ส่งผลให้การเล่นที่ต้องหันหลายทิศทางไวๆ จะมีอาการติดขัดเพราะสายเม้าส์ไม่ไวตามไปด้วย แต่ก็เป็นปัญหาที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ยกเว้นจะเป็นผู้เล่นมืออาชีพ ที่ต้องการเม้าส์ให้ความรู้สึกว่าไม่มีสายเท่านั้น
ฟันธง
เม้าส์ Deva Pro จากแบรนด์ LOGA ถือเป็นเม้าส์ที่คุ้มกับราคาค่อนข้างมาก สำหรับใช้เล่นเกมแข่งขันระหว่างผู้เล่น พร้อมทั้งยังสามารถนำไปเล่นกับเกมแนวไหนก็ลื่นไหลได้ทั้งหมด และถ้าเป็นเกมแนว FPS ก็จะทำให้เล่นได้ดีขึ้นมาในระดับนึงด้วย แล้วการได้ใช้ควบคู่กับแผ่นรองเม้าส์ Mantra นี้ ก็ทำให้หมดปัญหาเรื่องการตอบสนองตอนลากเม้าส์ไปได้เลย แต่ก็มีข้อเสียยิบย่อยอย่างสายที่แข็งไปหน่อย และการปรับ DPI ที่ทำได้ยากในสถานการณ์อันรวดเร็ว รวมทั้งความอิสระในการปรับ LED ที่ตามใจไม่ได้นี้ ก็ต้องทำให้ผู้ที่หวังซื้อมาเพราะความสวยงาม ต้องทำใจกันไปเสียก่อนด้วย
ถ้าหากคุณเป็นเกมเมอร์คนหนึ่ง ที่ชอบเล่นเกมแนวแข่งขัน หรืออยากลองเข้าสู่วงการ esports เม้าส์ และแผ่นรองเม้าส์ตัวนี้ ถือเป็นเกมมิ่งเกียร์ที่ไม่ควรพลาดเป็นลำดับแรก เพราะราคากับคุณภาพที่ได้รับ ถือว่าคุ้มค่ามากจริงๆ และก็เป็นการได้สนับสนุนคนไทย ให้พวกเขาได้ผลิตเกมมิ่งเกียร์จนโด่งดังไปในระดับโลกอีกด้วย
สำหรับเม้าส์ Deva Pro ได้ทำการขายในราคาปกติอยู่ที่ 1,490 บาท และแผ่นรองเม้าส์ Mantra ก็ได้ทำการขายในราคาปกติอยู่ที่ 790 บาท เท่านั้น สามารถสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ Shopee และ Lazada อีกด้วย โดยทาง ONE Esports ก็มีรหัสคูปองนำมาแจกให้ผู้ที่สั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ จะได้รับส่วนลดทันที 5% เมื่อใส่โค้ด “LOGAXONEE” และก็หวังว่าบทความรีวิวนี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลายคน ที่อยากเริ่มต้นเส้นทางในวงการ esports ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ONE Esports ยังได้สัมภาษณ์ อรรถวุฒิ เสริมเลขาวิลาศ CEO ผู้ก่อตั้งแบรนด์ LOGA เกมมิ่งเกียร์สัญชาติไทย เกี่ยวกับความเป็นมา และอนาคตของแบรนด์ซึ่งแฟนๆของ ONE esports สามารถติดตามอ่านแบบเต็มๆได้เร็วๆนี้